โมเดล 'MoU ร่วมรัฐบาล' เรื่องใหม่การเมืองไทย ที่สำเร็จในการเมืองโลกมานาน

โมเดล 'MoU ร่วมรัฐบาล' เรื่องใหม่การเมืองไทย ที่สำเร็จในการเมืองโลกมานาน
อะไรคือ 'Mou ร่วมรัฐบาล' เรื่องใหม่ในการเมืองไทยที่มีตัวอย่างสำเร็จแล้วในรัฐบาลหลายชาติตั้งแต่อังกฤษ เยอรมนี อินเดีย จนถึงรัฐบาลมาเลเซียชุดปัจจุบัน

หลังจากที่ "พรรคก้าวไกล" นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แถลงเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับอีก 6 พรรคการเมือง โดย 5 พรรค ที่นายพิธากล่าวถึง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม ในการแถลงเมื่อ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นายพิธา กล่าวถึงแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลว่า "ในการร่วมรัฐบาลต้องมีการเซ็น MOU เหมือนการเมืองในสากล เพราะจะเห็นความคาดหวังในการทำงานและประชาชนเห็นได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในช่วง 100 วัน 1 ปี หรือสมัยแรกจะมีอะไรเกิดขึ้น"

หากกล่าวถึง MoU (Memorandum of Understanding) หรือบันทึกความเข้าใจ ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถาน โดย นฤมล บุญแต่ง อธิบายว่า MoU หรือบันทึกความเข้าใจ เป็นหนังสือซึ่งฝ่ายหนึ่งแสดงความสมัครใจจะปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใด และตามเงื่อนไขที่ปรากฏในหนังสือนั้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยหนังสือที่ว่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาผูกมัด แต่เป็นการแสดงเจตจำนงของผู้ลงนามว่าจะปฏิบัติตามที่ได้ระบุไว้ เช่นการลงนาม MoU ระหว่างสถาบันการศึกษากับเอกชน ภาครัฐ หรือระหว่างหน่วยงานการศึกษาด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการเป็นต้น 

ในประเทศไทย เราอาจเคยเห็นการลงนาม MoU ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ กับเอกชน ระหว่างภาครัฐกับภาครัฐด้วยกัน เอกชนกับเอกชนด้วยกัน หรือการลงนามระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างชาติเพื่อขยายและกำหนดกรอบความร่วมมือในด้านต่างๆ แต่ในแง่การลงนามเพื่อจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นพันธะสัญญาระหว่างพรรคการเมืองที่จะร่วมรัฐบาล ถือเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับการเมืองไทย หลังเลือกตั้ง 2566 อย่างมาก ซึ่งจากผลการเลือกตั้งสะท้อนชัดเจนว่า สังคมไทยต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

 

ไอเดีย 'MoU ร่วมรัฐบาล'  

การเมืองเป็นเรื่องซับซ้อน เป็นเรื่องของอำนาจและการต่อรอง การจัดตั้งรัฐบาลร่วมจากหลายพรรคที่มีแนวทางการเมืองอันหลากหลายแตกต่างกัน ในทางการเมืองต่างชาติ  MoU ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ในการจับมือ เพื่อปูทางไปสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ประสบผลสำเร็จและความพยายามที่ประสบความสำเร็จ

'ไมเคิล เอฟ ทีส' นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ระบุถึงแนวคิดสำคัญของ MoU ทางการเมืองผ่านวารสารรัฐศาสตร์อเมริกันฉบับ 45 ฉบับที่ 3 (ก.ค. 2544) ชี้ถึงแนวคิดสำคัญของ MoU ร่วมรัฐบาลคือ การแบ่งปันอำนาจและการกำหนดนโยบาย โดย MoU เป็นการอนุญาตให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ภายในรัฐบาลผสมแบ่งปันอำนาจและอิทธิพล ช่วยอำนวยความสะดวกในการเจรจา

อีกประการคือ การกำหนดนโยบายที่รวมมุมมองและความสนใจของหลายฝ่าย ทำให้มั่นใจว่ามีตัวแทนที่หลากหลายและการตัดสินใจที่สมดุล  ขณะเดียวกันการทำ MoU ยังเป็นการกำหนดกรอบการทำงานที่เสริมความชัดเจนและรับประกันฉันทามติในประเด็นสำคัญ ช่วยให้รัฐบาลผสมสามารถหาแนวทางการแก้ปัญหาที่มีร่วมกันได้

 

ตัวอย่าง MoU ในการเมืองโลก

ในการเมืองต่างชาติ ที่ผ่านมามีรัฐบาลหลายประเทศใช้แนวทาง MoU ในพรรคร่วมรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรระหว่าง 2010-2015 รัฐบาลผสมระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party)กับพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrats) ซึ่งจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันในปี 2010 ได้จัดทำ MoU ที่ครอบคลุมแนวทางการผลักดันนโยบายต่างๆ ร่วมกัน แม้ทั้งสองพรรคจะมีอุดมการณ์ต่างกัน แต่ก็จับมือผลักดันเปลี่ยนแปลงนโยบายการศึกษาและมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในหลายรูปแบบ

เยอรมนี ระหว่างปี 1998-2005 ซึ่งเยอรมนีที่มีรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) กับพรรคกรีน จับมือลงนาม MoU ซึ่งชูแนวทางนโยบายร่วมกันแม้จะมีมุมมองที่ต่างกันในหลายประเด็น จนส่งผลให้รัฐบาลเยอรมนีในขณะนั้นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ ส่งผลให้รัฐบาลผสมระหว่าง SPD กับพรรคกรีน สามารถผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การปฏิรูปสวัสดิการสังคม และกฎระเบียบด้านตลาดแรงงาน ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างพันธมิตรร่วมรัฐบาลที่แม้จะต่างขั้ว

รัฐบาลอินเดียระหว่าง 1999-2004 ที่พรรคนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคภารติยะ ชนะตะ เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอีกหลายพรรคในอินเดีย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในเวลานั้น อาศัยการลงนาม MoU จัดตั้งรัฐบาลพื่อให้แน่ใจว่ามีการประสานงานระหว่างฝ่ายต่างๆ และดำเนินการตามนโยบายหลัก รวมถึงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และทิศทางการแสดงออกท่าทีทางการทูต

อีกหนึ่งตัวยอย่างล่าสุดคือกรณีของมาเลเซีย ซึ่งเมื่อปลายปี 2022 ผู้นำของแนวร่วมพรรคการเมือง 5 พรรคในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนการการทำงานของรัฐบาลอันวาร์ อิบบราฮิม และเพื่อสนับสนุนความชอบธรรมของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอันวาร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกสกัดทางการเมืองมาหลายครั้ง

นอกจาก MoU ในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว แนวทาง MoU ยังถูกใช้ในการเมืองระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายครั้งหลายครา อาทิ ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) ข้อตกลงของอับราฮัม (Abraham Accords) ซึ่งลงนามในปี 2020 ถือเป็นหลักชัยที่สำคัญในการเจรจาต่อรองในตะวันออกกลาง MOU ระหว่างอิสราเอล กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จนทำให้ยูเออีเป็นชาติแรกในอาหรับที่ฟื้นสัมพันธ์กับอิสราเอล