เปิดบทสัมภาษณ์ พิธา จ้อสื่ออังกฤษ มั่นใจเพื่อไทยไม่ถอนตัวพรรคร่วม ประกาศชัดผมไม่ใช่นักการเมือง'ทั่วไป'แบบที่คนคุ้นเคย ฝันเห็นไทยเท่าเทียม ไม่รวมศูนย์
เว็บไซต์สำนักข่าวบีบีซี ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์พิเศษ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยบีบีซีเริ่มต้นบทความสัมภาษณ์ว่า พิธา คือว่าที่นายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ในขณะที่ประเทศไทยมีอายุเฉลี่ยของคณะรัฐมนตรีที่ 65 ปี ท่ามกลางประเพณีการให้ความเคารพผู้อาวุโส แต่ตรงขามกับหัวหน้าพรรคก้าวไกลซึ่งอายุเพียง 42 ปี ที่มาพร้อมการแสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ยิ่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูโดดเด่น
บีบีซีระบุว่า ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นผลการเลือกตั้งที่หักปากกาเซียนอย่างยิ่ง ทั้งยังสร้างความตกตะลึงต่อขั้วอนุรักษ์นิยม ที่ครอบงำการเมืองมานาน ชัยชนะนี้ของก้าวไกล ทำให้ พิธา ขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในรอบ 30 ปี
พิธา กล่าวต่อโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า “ผมแตกต่าง เราไม่ได้แค่จับมือร่วมรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาเร็ว ๆ หรือทำให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผมจะเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน... เพราะโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว”
"คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่แข็งกร้าวตลอดเวลาซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยภาวะชายเป็นพิษ (toxic masculinity) เพื่อให้ ทุกคนต้องมาฟังผม และผมต้องโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา"
"ผมไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา ผมแค่มนุษย์คนหนึ่งที่อ่อนน้อมคนหนึ่งในไทย ชอบขับมอเตอร์ไซค์ กินอาหารริมถนนเหมือนคนทั่วไป”
พิธา เล่าต่อบีบีซีถึงเส้นทางชีวิตของเขาว่า ไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเติบโตในครอบครัวที่เพรียบพร้อม ช่วงวัยรุ่น เขาอาศัยและศึกษาในประเทศนิวซีแลนด์ ก่อกลับมาศึกษาปริญญาตรีในไทย และทำงานอยู่พักหนึ่ง ก่อนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา จึงกลับมาสืบทอดกิจการขายน้ำมันรำข้าวของธุรกิจที่บ้าน กระทั่งกลายเป็นผู้บริการของบริษัทแกร๊บ
พิธา มองว่า ประสบการณ์เหล่านี้ได้บ่มเพาะให้เขาเตรียมตัวสู่การเป็นนักการเมือง พิธายังได้กล่าวถึงต้นแบบนักการเมืองที่น่าชื่นชม อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ และ โฮเซ่ “เปเป้” มูฆิกา อดีตประธานาธิบดีอุรุกวัย
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้ง บีบีซีมองว่ามีความ "ทะเยอทะยาน" อย่างยิ่งมากกวาพรรคการเมืองใดในประเทศนี้ จากนโยบาย 300 ข้อของพรรคที่เสนอต่อประชาชน อาทิ กฎหมายสมรสเท่าเทียม ยุติการเกณฑ์ทหาร ขจัดทุนผูกขาด และยกเครื่องการศึกษาไทย ให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจศตวรรษที่ 21
“ถึงเวลายุติวงจรการรัฐประหาร ถึงเวลายุติการคอร์รัปชันทางการเมือง ที่เปิดประตูสู่การรัฐประหารเสียที” พิธา กล่าว
แต่นโยบายที่ตกเป็นประเด็นถกเถียงมากที่สุด คือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งทำให้ สมาชิกวุฒิสภาหลายคนที่มาจากการแต่งตั้งทั้ง 250 คน มีหลายคนแสดงจุดยืน จะยับยั้งพรรคก้าวไกลไม่ให้ขึ้นเป็นรัฐบาล และอาจไม่โหวตให้พิธา เป็นนายกฯ
“เราได้คะแนนเสียงจากประชาชน 14 ล้านคน ประชาชนเข้าใจดี เพราะเราชัดเจนและโปร่งใส ว่านี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เราต้องการผลักดัน” ในแง่นโยบายต่างประเทศ หัวหน้าพรรคก้าวไกลให้มุมมองว่า ภายใต้รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประเทศไทยถูกมองว่า มีบทบาทน้อยในด้านการต่างประเทศ แต่หากเขาป็นนายกรัฐมนตรี "เราต้องเขาหาประชาคมโลกมากขึ้น"
“ไทยต้องปรับสมดุล เราแสดงออกให้มากขึ้น และเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับประชาคมโลกที่ยึดหลักนิติธรรม... ถ้าเราไม่พูด มันก็ไม่มีน้ำหนัก ในนโยบายต่างประเทศ”
“ปัญหาหลายอย่างของไทย ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ มลพิษทางอากาศ ราคาปุ๋ย ล้วนมาจากที่อื่น ๆ ในโลกเช่นกัน”
ขณะเดียวกันบีบีซีได้ถามถีงประเด็นข้อพิพาทต่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญโดย พิธาแสดงความมั่นใจว่า
"ไม่ว่าก้าวไกล หรือเพื่อไทย ต่างก็ไม่สามารถถอนตัวจากพรรคร่วม 'รัฐบาลแห่งความหวังและความฝัน' ได้เพราะต่างฝ่ายมีราคาที่ต้องจ่าย หากคิดทำลายความหวังและความฝันของประชาชนได้"
แม้มีภาระความรับผิดชอบมากมายแต่ พิธา ก็ยังสามารถแบ่งเวลาเพื่ออยู่กับครอบครัว และมีทัศนคติที่ยังมองโลกในแง่ดีว่า ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี “ผมไม่อยากเหมือนนักการเมืองไทยคนอื่น ๆ ที่ต้องมาแก่งแย่งตำแหน่งทั้งที่อายุ 70-80 ปีแล้ว”
“ผมอยากเป็นนักการเมืองไปสักประมาณ 10 ปี จากนั้นก็ไปทำอย่างอื่นต่อ” เมื่อบีบีซีถามพิธาว่า หากได้เป็นรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีจนครบสมัย 4 ปี เขาอย่างเห็นประเทศที่กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์ กรุงเทพฯ ไม่เท่ากับประเทศไทย และประเทศไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพฯ ประเทศที่มีความเท่าเทียมในด้านบริการสาธารณสุข และการศึกษา ความเท่าเทียมด้านงบประมาณ ด้านการจัดเก็บภาษี นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นไทยเป็นเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ผมอยากไป อย่างอังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ความเท่าเทียมในประเทศ แต่ทัดเทียมระดับโลก นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นประเทศไทยก้าวไปถึง ในสมัยแรกจากสองสมัยภายใต้การนำของผมในฐานะนายกฯ”