ทีมนักวิจัยจีนพบ “ประตูลับ” บนกำแพงเมืองจีนกว่า 130 บาน เชื่อในอดีตเป็นทางออกเพื่อเลี้ยงปศุสัตว์ ติดต่อการค้ากับโลกภายนอก และสอดแนมทางทหาร
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมวิจัยระบบการป้องกันของกำแพงเมืองจีน ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เผยการค้นพบซากประตูที่ถูกซ่อนอยู่กว่า 130 บานบนกำแพงเมืองจีนเมื่อไม่นานมานี้ ผ่านการถ่ายภาพต่อเนื่องที่มีความละเอียดเกือบระดับเซนติเมตร
ทีมงานทำการวิเคราะห์รูปภาพเพิ่มเติมและลงพื้นที่สำรวจประตูลับดังกล่าว และพบว่าประตูลับแต่ละบานออกแบบมาให้เข้ากันได้ดีกับภูมิประเทศในท้องถิ่น ในอดีตเส้นทางลับเหล่านี้มีไว้เป็นทางผ่านของทหารสอดแนม ขณะที่บางเส้นทางถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารระหว่างพื้นที่ภายในและภายนอกกำแพงเมืองจีน หรือเพื่อการค้าและการพาณิชย์สมัยโบราณ
เอกสารทางการบางฉบับที่มีอายุย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์หมิง (ปี 1368-1644) ระบุว่าชนเผ่าเร่ร่อนได้รับอนุญาตให้ใช้งานประตูลับข้างต้น เพื่อการเลี้ยงปศุสัตว์ระหว่างภูมิภาคชิงไห่และเหอเท่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ในห้วงเวลานั้น
จางอวี้คุน ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทียนจินซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัย ชี้ว่าการเลี้ยงปศุสัตว์ข้างต้นมีหลักฐานยืนยันเป็นประตูลับขนาดใหญ่บางส่วน ที่สามารถให้ม้าสองตัวเดินผ่านจากทั้งสองทิศทาง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยพิสูจน์ว่ากำแพงเมืองจีนไม่ได้ปิดสนิท แต่จะ “เปิด” อย่างเป็นระบบ
ก่อนหน้านี้จีนมีการศึกษาเกี่ยวกับทางลับดังกล่าวน้อยมาก ทว่าการค้นพบครั้งใหม่สามารถช่วยนำเสนอกลไกทางสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์และเด่นชัดของกำแพงเมืองจีน
ทีมงานยังพบประตูทางออกที่ลึกลับที่สุดของเส้นทางลับเหล่านี้ ซึ่งถูกบันทึกไว้โดยเหล่านักวิชาการในสมัยราชวงศ์ถัง ซ่ง หมิง และชิง แต่ไม่เคยมีหลักฐานทางกายภาพของทางออกลับประเภทนี้ปรากฏมาก่อน
หลี่เจ๋อ หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัย อธิบายว่าประตูทางออกฝั่งที่หันไปทางข้าศึกถูกพรางด้วยอิฐ ส่วนฝั่งที่หันไปทางทหารในกำแพงเมืองจีนถูกสร้างให้เป็นโพรง ทำให้ศัตรูแทบไม่สามารถแยกแยะตำแหน่งของทางออกเมื่อมองจากภายนอก พร้อมชี้ว่าเมื่อด่านกำแพงหลักที่อยู่ใกล้เคียงถูกโจมตี ทหารจีนสามารถพังประตูจากด้านในได้เสมือนการทุบเปลือกไข่ และทำการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งนับเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีถึงภูมิปัญญาทางการทหารของจีนในสมัยโบราณ
ทั้งนี้ กำแพงเมืองจีนประกอบด้วยกำแพงหลายช่วงที่เชื่อมต่อกันจนมีความยาวรวมกว่า 20,000 กิโลเมตร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO)
ภาพ: Xinhua