โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นศาลรับทราบข้อกล่าวหากรณีครอบครองเอกสารลับด้านความมั่นคง ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา นับเป็นอดีตผู้นำสหรัฐคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ขึ้นศาลรัฐบาลกลาง
นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางมายังศาลรัฐบาลกลางในนครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา จากกรณีที่อัยการสหรัฐสั่งฟ้องหลายข้อหาเกี่ยวกับการครอบครองเอกสารลับด้านความมั่นคงในบ้านพักส่วนตัวที่รัฐฟลอริด้าอย่างไม่เหมาะสม เสี่ยงต่อการรั่วไหล หลังจากที่ทรัมป์ลงจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐไปแล้ว
รายงานระบุว่า นายทรัมป์เดินทางมายังศาลโดยสวมสูทสีกรมเข้มและเนคไทสีแดง ท่ามกลางการติดตามอย่างใกล้ชิดของกองทัพสื่อมวลชน ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของขบวนรถพร้อมการปิดถนนบางส่วนบนเส้นทางไปศาล
ช่วงเวลาประมาณ 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น รัฐฟลอริด้า อดีตผู้นำสหรัฐ เข้ารับฟังข้อกล่าวหาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาตามคาดการณ์ โดยนายทรัมป์นั่งกอดอกและไม่พูดอะไรระหว่างการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งกระบวนการในศาลกินเวลาประมาณ 45 นาที
อัยการสหรัฐได้มีการสั่งฟ้องอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยข้อหาอาญาถึง 37 กระทงเกี่ยวกับการจัดการเอกสารลับของราชการ โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอได้บุกตรวจค้นคฤหาสน์มาร์ อะลาโก ของทรัมป์ในเมืองไมอามี่ แล้วพบว่ามีเอกสารลับจำนวนมาก ถูกเก็บไว้ในกล่องกระดาษตามพื้นที่ต่างๆของบ้านพัก ตั้งแต่ในห้องน้ำ ห้องนอน จนถึงห้องบอลรูม อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเสี่ยงต่อการที่เอกสารจะรั่วไหลเพราะคฤหาสต์ดังกล่าวมีการจัดงานสังคมบ่อยครั้ง ขณะที่เอกสารหลายรายการเป็นข้อมูลลับที่ทรัมป์ไม่ควรครอบครองหลังลงจากตำแหน่ง จากข้อหาทั้งหมดนี้ทำให้ทรัมป์กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตั้งข้อหาในคดีอาญา รัฐบาลที่เขาเองเคยนั่งเก้าอี้ผู้นำและกำลังมุ่งมั่นลงชิงเก้าอี้อีกสมัยในปีหน้า
ในระหว่างที่ทรัมป์เดินทางมาศาล ได้มีบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนรวมตัวกันบริเวณด้านหน้าศาล พร้อมถือป้ายข้อความและธงสนับสนุนทรัมป์ ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี2024 ท่ามกลางสื่อมวลชนจากหลากหลายประเทศทั่วโลกที่มาเฝ้าจับตา ซึ่งนอกจากกลุ่มผู้สนับสนุนแล้วอีกด้านหนึ่งยังมีกลุ่มต่อต้าน ชูป้ายเรียกร้องให้ทรัมป์ถูกจับด้วย
เอกสารชั้นความลับดังกล่าว ประกอบด้วยเอกสารที่มีข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ขีดความสามารถทางกลาโหมและยุทโธปกรณ์ของทั้งสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ข้อมูลจุดอ่อนของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรซึ่งอาจตกเป็นเป้าการโจมตี และแผนการตอบโต้กรณีที่สหรัฐฯ ถูกโจมตี ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลทางการทหารที่ละเอียดอ่อน และควรส่งคืนให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติหลังลงจากตำแหน่งไปแล้ว
หากถูกตัดสินว่ากระทำความผิดจริง นายทรัมป์อาจเจอโทษสูงสุดคือ คือ โทษจำคุก โดยแต่ละข้อหาจะมีโทษแตกต่างกันออกไป อาทิ ข้อหาเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลด้านกลาโหมโดยมิชอบ มีโทษจำคุกกระทงละ 10 ปี ส่วนข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อขัดขวางกระบวนการยุติธรรมและปกปิดหลักฐานในการสอบสวนของรัฐบาลกลาง มีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี
ส่วนข้อหาให้ข้อมูลเท็จมีโทษจำคุก 5 ปี แต่ส่วนมากจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญศาลอาจไม่มีการตัดสินโทษจำคุกสูงสุดตามความผิดของแต่ละกระทง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนในการดำเนินคดีความอาจเป็นอุปสรรคต่อการลงชิงชัยประธานาธิบดีสมัยที่ 2