วิจัยเผยธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายอย่างรวดเร็วอาจหายไปถึง 80% ในปี 2100 คาดกระทบคนในเอเชียกว่า 2 พันล้านคน เสี่ยงเกิดภัยพิบัติยากคาดเดา

ศูนย์พัฒนาเทือกเขาแบบบูรณาการต่างประเทศ (The International Centre for Integrated Mountain Development : ICIMOD) เผยรายงานล่าสุดที่ พบว่า ธารน้ำแข็ง (glacier) บนเทือกเขาฮินดู-กุช หิมาลัยละลายเร็วขึ้น 65% ในทศวรรษที่ 21 นี้ โดยการละลายของน้ำแข็งก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน แผ่นดินถล่ม รวมไปถึงหิมะถล่ม ซึ่งประชากรราว 280 ล้านคนที่อยู่ตามแนวเทือกเขา และ 1.65 ล้านคนที่อาศัยบริเวณปลายน้ำจะได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากพึ่งพาการเกษตร และปศุสัตว์โดยอาศัยธารน้ำแข็งในการเลี้ยงชีพ

อะมีนา มาฮาร์จาน (Amina Maharjan) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส และการย้ายถิ่น กล่าวว่า ที่นี่เป็นบ้านสำหรับพวกเขา การดำรงอาชีพ อาศัย เกษตรกรรม ปศุสัตว์ และการท่องเที่ยวเป็นหลัก สิ่งที่พวกเราตระหนักในการประเมินคือเราต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขของสภาพอากาศ และพื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง เห็นได้จาก วัวป่า (Yak) ล้มตายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากภาวะขาดแคลนอาหารช่วงฤดูร้อน หากอากาศเปลี่ยนแปลง และหิมะตกเร็วก่อนช่วงเวลาเกินไป พื้นที่ทั้งหมดจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทำให้พวกมันไม่มีหญ้ากิน อะมีนากล่าว 

ผู้เชี่ยวชาญทางสภาพภูมิอากาศโลกระบุว่า หากประเมินขั้นต่ำแล้วธารน้ำแข็งจะละลาย 1 ใน 3 เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศา โดยในปี 2100 เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งจะสูญเสียมวลถึง 30-50% หากอุณหภูมิโลกเพิ่ม 1.5-2 องศาจากสภาวะโลกร้อน จึงเน้นย้ำว่าการทำให้อุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีสปี 2015 จึงเป็นเรื่องสำคัญในการคงไว้ซึ่งธารน้ำแข็งที่ยังหลงเหลืออยู่

ทั้งนี้ สำหรับธารน้ำแข็งในภูมิภาคเทือกเขาฮินดูกูช เป็นธารน้ำแข็งสำคัญที่หล่อเลี้ยงระบบนิเวศแม่น้ำสำคัญที่สุดในโลก 10 สาย รวมถึงแม่น้ำคงคา และแม่น้ำสินธุ ซึ่งมีความสำคัญต่อประชากรไม่น้อยกว่า 240 ล้านคน เช่นเดียวกับคนกว่า 1,650 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ชุมชนด้านล่างที่มีประชากรไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านคนในทวีปเอเชีย ดังนั้นผลกระทบที่อาจเกิดจากการละลายดังกล่าวจะส่งผลรุนแรงกว่าจะยอมรับได้

ที่ผ่านมารัฐบาลประเทศต่างกำลังเตรียมการรับมือ ปากีสถานเตรียมติดตั้งเครื่องมือเดือนภัยน้ำหลากจากธารน้ำแข็ง ส่วนประเทศจีนกำลังหาทางป้องกันและรักษาปริมาณน้ำในประเทศ