ฟรีวีซ่าให้อาจไม่เวิร์ก อย่าหวังสูงกับนักเที่ยวจีน นี่คือเหตุผลที่คนจีนอาจไม่มาเที่ยวไทย

ฟรีวีซ่าให้อาจไม่เวิร์ก อย่าหวังสูงกับนักเที่ยวจีน นี่คือเหตุผลที่คนจีนอาจไม่มาเที่ยวไทย
ไทยเลิกหวัง ฟังเหตุผลนักท่องเที่ยวจีนจะไม่กลับมาไทยอีกแล้ว

นโยบายเร่งด่วนที่สุดเรื่องหนึ่งของรัฐลบาลเศรษฐาคือการผลักดัน "ฟรีวีซ่า" ให้กับนักท่องเที่ยวจีน แน่นอนว่า ก็เพื่อหวังให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมากอีกครั้ง 

แต่นโยบายนี้มีทั้งเสียงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป แต่ ณ ที่นี้เราจะมาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาไทยอีก หลังจากที่ยอดทัวร์จีนน้อยจนน่าตกใจ ทั้งๆ ที่จีนเปิดประเทศหลังโควิดมานานแล้วก็ตาม 

ก่อนที่เราจะไปวิเคราะห์ว่าวีซ่าฟรีจะส่งผลกระทบอะไรกับบ้านเมืองของเรา เราจะมาหาข้อสรุปกันก่อนว่า คนจีนจะมาเที่ยวไทยอีกหรือไม่ และทัวร์จีนหายไปไหนก่อนหน้านี้ และจะกลับมาเที่ยวไทยอีกหรือไม่ถ้าหากมาแล้วไม่ต้องขอวีซ่าอีก ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์ของเรา 

1. คนจีนอาจจะไม่กลับมาเที่ยวมากเท่าเดิม เพราะคนจีนกำลังเก็บเงิน เศรษฐกิจไม่ดี ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังจะแย่ 

ข้อเท็จจริงก็คือ คนจีนมักใช้เงินผ่านการเก็งกำไรในตลาดอสังหาฯ ครัวเรือนชาวจีนลงทุนมากถึง 80% ของความมั่งคั่งในอสังหาริมทรัพย์ โดยรวมแล้วทั้งประเทศจีนเก็บความมั่งคั่ง 70% ไว้ในอสังหาริมทรัพย์เพราะเป็นการลงทุนที่ได้ผลสูง แทนที่จะฝากธนาคารให้เงินอยู่นิ่งๆ เพราะดอกเบี้ยเงินออมต่ำแค่ 1.03% 

แต่ตอนนี้ฟองสบู่ตลาดอสังหาอาจจะระเบิด หลังจากบริษัทใหญ่ๆ เงินออมก็เสี่ยงที่จะหายไปด้วย ซึ่งวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนในเกิดขึ้นในปี 2020 ลากมาถึงปี 2023 และอาจจะลากยาวต่อไป เริ่มต้นจากการซวนเซของบริษัท Evergrande Group และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ของจีน  เช่น Country Garden, Kaisa Group, Fantasia Holdings, Sunac, Sinic Holdings และ Modern Land ทั้งหมดเป็นรายใหญ่ทั้งสิ้น    

ผลก็คือมีหนี้ติดค้างในภาคอสังหาริมทรัพนย์มากมายมหาศาล เอาเฉพาะแค่ Evergrande Group รายเดียว ติดหนี้นักลงทุนรายย่อยหลายพันราย รวมถึงธนาคาร ซัพพลายเออร์ และนักลงทุนต่างชาติ 2 ล้านล้านหยวน (310,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ เดือนกันยายน 2021 บริษัท Country Garden เสี่ยงที่จดผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่เหมือนกัน แม้ว่าจะเลี่ยงมาได้เฉียดฉิวในปีนี้ แต่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนบริษัทอื่นๆ ก็มีอาการอาจจะชำระหนี้ไม่ได้เหมือนกัน

วิกฤตนี้ไม่ธรรมดา มันจะทำให้สภาพคล่องในประเทศเหือดแห้งไป (คนไม่มีเงินสดในมือ) และทำให้เงินออมทั้งชีวิตหมดสิ้นไปเอาง่ายๆ (เพราะคนไปลงทุนอสังหาฯ มากเกินไป) เราจะเห็นว่าคนจีนเริ่มมีปฏิกริยา คือปี 2022 ชาวจีนเก็บออมเงิน 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 80% จากปี 2021 การออมนี้คือการออมในธนาคาร นั่นหมายความว่า

  1.         คนจีนไม่มั่นใจตลาดอสังหาอีก และคนจีนกังวลจนไม่ยอมใช้เงิน แต่เลือกจะเก็บเงิน เพราะการออมเงินในช่วงวิกฤต เป็นพฤติกรรมทั่วไปของผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่โหมด "เต่าในกระดอง" รับแรงกระแทก
  2.         แต่คนจีนยังเป็นพวกกลัวความวุ่นวาย หรือ "ล่วน" (乱) ซึ่งหมายถึงภาวะโกลาหลทางสังคมการเมือง ดังนั้นจีนจะเก็บเงินคูณสองเข้าไปอีก จะเห็นว่าคนจีนไม่เคยออมเงินขนาดนี้มาก่อน เพราะเน้นเอาเงินไปลงที่ภาคอสังหาฯ 

• นอกจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ จีนยังมีปัญหาเรื่องการจ้างงาน ตอนนี้คนจีนตกงานมากขึ้น ในหมู่คนรุ่นใหม่ตกงานถึง 21% จากตัวเลขเดือนพฤษภาคม ทั้งประเทศตกงาน 5.3% ในเดือนกรกฎาคม คนรุ่นใหม่คือกลุ่มที่มีศักยภาพการจับจ่ายสูง และนิยมท่องเที่ยว แต่เมื่อไม่มีงาน ก็ย่อมไม่มีเงินเที่ยว

ไม่ใช่แค่เท่นนั้น เศรษฐกิจของจีนยังชลอตัวลงแบบเหนือความคาดหมาย ทั้งๆ ที่โลกคาดว่าจีนจะเป้นตัวจักรขับเคลื่อนโลกหลังยุคโควิด ตอนนี้ตัวเลขนำเข้าและส่งออกเดือนสิงหาคมลดลงมากถึง  8.8% และ 7.3% หรือ 4 เดือนติดต่อกัน นั่นหมายความว่าจีนบริโภคลดลง และนี่จะส่งผลสองเด้งมายังภาคส่งออกของไทยด้วย 

• สรุปก็คือ คนจีนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ยิ่งสถานการณ์ระส่ำ คนจนยิ่งกังวลจนไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือย จึงไม่ต้องหวังว่าคนจีนจะแห่กันมาใช้สอยเหมือนเดิม ตัวอย่างชัดๆ คือ วัดจากยอดขาย  Louis Vuitton ในจีนแผ่นดินใหญ่ลดลง 5% ถึง 10% ในเดือนกรกฎาคม

2. คนจีนอาจจะไม่กลับมาเที่ยวมากเท่าเดิม เพราะคนจีนไปเที่ยวนอกน้อยลง เที่ยวในประเทศมากขึ้น     

เราจะเห็นได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ลดลงอย่างน้อย 60% ในเดือนพฤษภาคมนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ตามรายงานของรอยเตอร์

เที่ยวบินระหว่างประเทศกับจีนเพิ่มขึ้นมา 75% จากเกือบ 0% ช่วงโควิด แต่ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่มขึ้นมาก มันก็ยังไม่ถึ 100% เทียบกับการเดินทางภายในเพิ่มขึ้นถึง 110%

ในขณะที่นักท่องเที่ยวออกไปข้างนอกน้อยลงมาก แต่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน บอกว่า ในเดือนสิงหาคม “การใช้จ่ายชดเชยความรู้สึกอัดอั้น” (revenge shopping) ในภาคบริการมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยร้านอาหารด้านการเดินทางและเครือข่ายยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตที่สูง และยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นในด้านการบริการ (การท่องเที่ยว)”

• สรุปก็คือ คนจีนเที่ยวนอกน้อยลง แต่เที่ยวในประเทศมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะบอกว่ามีการใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น แต่มันเป็นค่าใช้จ่ายที่เทียบไม่ได้กับเงินที่จะเอาไปเที่ยวนอกประเทศ 

3. คนจีนอาจจะไม่กลับมาเที่ยวมากเท่าเดิม ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเปลี่ยนไป ทำให้คนจีนไม่กล้ามา

• ข้อเท็จจริงก็คือ ไทยเป็นประเทศกลุ่มแรกๆ ที่จีนอนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์มาเที่ยวได้ แต่ผ่านครึ่งปีแรกไปแล้วนักท่องเที่ยวจีนมาไทยแค่ 5 ล้าน เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยเฉียด 11 ล้านคน

ในช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม มีข่าวลือในโซเชียลมีเดียจีนว่า เมืองไทยอันตราย คนจีนอาจถูกลักพาตัวแล้วนำไตไปขาย บางข่าวลือระบุว่ามีคนจีนถูกลักพาตัวในประเทศไทยแล้วนำไปทำงานทาสให้กับแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านของไทย

คนจีนบางส่วนกลัวว่าการเปิดเสรีกัญชาในไทย ทำให้เชื่อว่าของกินของใช้มีกัญชาผสมไปหมด และอาจทำให้พวกเขาเสพยาเสพติดไม่รู้ตัว

ข่าวลือพวกนี้ทรงพลังมาก ถึงขนาดมีการแก้ข่าวหลายครั้งก็ยังไม่สำเร็จ และโผล่มาทางโซเชียลมีเดียจีนอยู่เรื่อยๆ    

แม้ว่าจะมีข่าวไทยให้ฟรีวีซ่ากับคนจีน แต่คนจีนบอกว่า "ให้ฟรีก็ไม่เอา" เพราะ "ใครจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับของฟรี" จากแต่ก่อนใครๆ ก็เก็บเงินเพื่อมาเที่ยวไทย   

การโฆษณาชวนเชื่อแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมาก ทำให้คนจีนระแวงประเทศไทยไปแบบถาวร

• สรุปก็คือ คนจีนกลัวประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว 

4. คนจีนอาจจะไม่กลับมาเที่ยวมากเท่าเดิม เพราะสังคมจีนไม่เหมือนเดิมอีก 

• หลังจากเกิดสงครามการค้า จีนตระหนักว่าการยึดโยงภายนอกมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ จีนจึงหันมาพึ่งพาตัวเองมากกว่าเดิม แล้วลดการพึ่งภายนอกลง

หลังจากเกิดโควิดเกิดความสั่นคลอนทางสังคมในจีนไม่น้อย ทำให้จีนต้องปรับสภาพตัวเองให้มั่นคงขึ้น 

ในระยะหลัง กระแสต้านจีนภายนอกเพิ่มสูงขึ้นมาก (รวถึกรณีตู้หาวและจีนเทา ที่ทำให้คนไทยมองคนจีนด้านลบมากขึ้น) แต่ชาตินิยมภายในจีนก็รุนแรงขึ้น ยิ่งทำให้จีนคิดถึงเรื่อง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

ดังนั้น จีนจึงเกิดปรากฏการณ์ "เต่าหลบในกระดอง" ซึ่งไม่ใช่การดูแคลนจีนว่าเป็นเต่า แต่เป็นลักษณะของการถอยทัพเข้ามาปักหลักในพื้นที่ปลอดภัยและมั่นคง แม้ว่าจะเคยลงทุนใหญ่ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ยอมปล่อยมือไป แม้ว่าจะมีแผน "สยายปีกอินทรี" ด้วยการเตรียมจะส่งคนและทุนมาก่อนก็ตาม 

• สรุป สภาพภายในจีนเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่คนภายนอกจีนยังคิดว่าจีนเหมือนเดิม และยังหวังว่าจีนจะทำตัวแบบเดิมเหมือนก่อนยุคโควิด 

ปัจจัยเหล่านี้ คือสาเหตุที่ทำให้เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนจะไม่กลับมาเที่ยวไทยเท่าเดิมก่อนช่วงโควิด อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาระยะสั้นถึงระยะกลางต่อจากนี้ ตราบใดที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ดี และข่าวลือรวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยไม่ดีในสายตาจีน ตราบนั้นวีซ่าฟรีให้คนจีนก็จะไม่มีพลังในการดึงทัวร์จีนเข้ามาไทย 

Photo by Romeo GACAD / AFP

TAGS: #ทัวร์จีน #นักท่องเที่ยวจีน #จีน #วีซ่าฟรี #ฟรีวีซ่า